เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้สร้างความโกลาหลวุ่นวายแก่โลกอย่างหนักหน่วงทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ สังคม การเมือง รวมไปถึงวิถีชีวิตของผู้คน ผู้เขียนได้เคยอธิบายผลกระทบด้านเศรษฐกิจโดยตรงไปแล้วในบทความ “ไวรัสโคโรนา : ฝันร้ายของเศรษฐกิจโลก?” ของคอลัมน์บางขุนพรหมชวนคิด หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 24 ก.พ. 63 ตั้งแต่เมื่อครั้งสถานการณ์ภายนอกประเทศจีนยังไม่รุนแรงนักและอัตราการติดเชื้อชะลอลงแล้ว

อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนยอมรับโดยดุษณีว่าการแพร่ระบาดของไวรัสตัวนี้รุนแรง รวดเร็ว และขยายวงกว้างกว่าที่เคยประเมินไว้จริง ๆ จึงต้องขอให้กำลังใจอีกครั้งกับบุคลากรทางสาธารณสุขแนวหน้าทุกท่าน รวมทั้งเจ้าหน้าที่ภาครัฐและภาคเอกชนทั่วโลกที่พยายามเยียวยาผลกระทบอันใหญ่หลวงนี้ ผู้เขียนได้แต่หวังว่าฝันร้ายครั้งนี้จะจบลงด้วยความร่วมแรงร่วมใจของทุกท่านในการเว้นระยะห่างทางสังคม (social distancing) โดยเฉพาะการอยู่บ้านเพื่อหยุดการแพร่และรับเชื้อ และการได้รับประโยชน์จากมาตรการเยียวยาของภาครัฐอย่างตรงจุดในช่วงเวลาที่ยากลำบาก ตลอดจนความสำเร็จจากการคิดค้นวิธีการรักษาและวัคซีนป้องกันไวรัสโดยเร็วที่สุด

แต่ท่านผู้อ่านอย่าเพิ่งได้สิ้นหวังไปครับ เพราะทุกวิกฤตมีเกิดแล้วย่อมมีดับเป็นธรรมดา การแพร่ระบาดครั้งนี้ก็เช่นกัน คำถามสำคัญที่ตามมาคือ เมื่อวิกฤตครั้งนี้สิ้นสุดลงแล้ว โลกใบนี้จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร วันนี้จึงขอชวนท่านผู้อ่านมองไปข้างหน้าและคิดตามกันในแง่มุมต่าง ๆ โดยจะขอเพิ่มเติมโดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวกับภาวะโลกร้อน 2 ประการสำคัญข้างท้ายในบทความ Extended Version นี้ ดังต่อไปนี้ครับ

1. การทวนกระแสโลกาภิวัตน์ (deglobalization) จะมีความเข้มข้นมากขึ้น และทำให้ห่วงโซ่อุปทานโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว : ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาก่อนเกิดวิกฤตครั้งนี้ เราได้เห็นหลายประเทศใช้นโยบายแบบเน้นตนเอง (inward-looking policy) หรือปกป้องทางการค้า (protectionism) อย่างชัดเจนกันอยู่แล้ว โดยเฉพาะจากสงครามการค้าที่ปะทุขึ้นโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ที่ส่งเสริมให้บริษัทสัญชาติอเมริกันกลับมาผลิตในประเทศมากขึ้นและกีดกันการค้าจากต่างประเทศ ประเด็นนี้กลับมาชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีกด้วยวิกฤตโควิด-19 ที่กำลังตอกย้ำความเชื่อของฝ่ายขวาจัดและผู้ไม่สนับสนุนโลกาภิวัตน์ว่า การพึ่งพิงระบบการผลิตระหว่างประเทศมากเกินไปเป็นเรื่องอันตราย ซึ่งจะเร่งกระบวนการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานโลกที่มีอยู่แล้วให้ยิ่งรวดเร็วมากขึ้น กล่าวคือ ประเทศต่าง ๆ จะหันมาพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานในประเทศตนเองเพิ่มขึ้นอีก และกระจายความเสี่ยงด้านการผลิตและขายสินค้าโดยไม่พึ่งพาแต่ประเทศใดประเทศหนึ่งเท่านั้น เพราะเห็นผลกระทบชัดเจนจากขั้นตอนการผลิตหรือตลาดขายสินค้าเมื่อยามที่ต้องปิดตัวลง ซึ่งเป็นผลจากมาตรการต่าง ๆ อาทิ การปิดเมืองหรือประเทศเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด นอกจากนี้ รัฐบาลประเทศต่าง ๆ อาจเปลี่ยนวิกฤตครั้งนี้ให้เป็น “โอกาส” ในการคิดทบทวนอย่างรอบคอบว่านโยบายเศรษฐกิจของประเทศจะเดินไปในทิศทางใด โดยจะพยายามกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจโดยไม่พึ่งพารายได้ทางใดทางหนึ่งจนเกินไป อาทิ ไม่พึ่งพาแต่การส่งออกหรือการท่องเที่ยวเท่านั้น แต่อาศัยการบริโภคและการลงทุนในประเทศเป็นเครื่องจักรสำคัญด้วย

2. ปัญหาเชิงโครงสร้างโดยเฉพาะด้านสาธารณสุข จะได้รับการแก้ไขให้ทั่วถึงและเสมอภาคมากขึ้น : วิกฤตโควิด-19 สร้างแรงกดดันให้รัฐบาลหลายประเทศหันมาใส่ใจพื้นฐานด้านสาธารณสุขของประชาชนและไม่ปล่อยให้กลไกตลาดเป็นตัวจัดการอย่างที่เคยเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐฯ ที่ระบบสาธารณสุขไม่มีระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า วิกฤตครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า การที่บุคคลจะเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้หรือไม่นั้นไม่ควรเป็นเรื่องของปัจเจกชนอีกต่อไป เพราะคนคนหนึ่งที่จริง ๆ แล้วเป็นพาหะของโรคอยู่ แต่ไม่สามารถไปใช้บริการตรวจไวรัสได้เพราะจ่ายเงินค่าตรวจไม่ไหวทั้ง ๆ ที่อยากไป และคงใช้ชีวิตแบบเดิมตามปกติ ทำให้แพร่โรคระบาดต่อไปให้ผู้อื่นโดยไม่รู้ตัวได้ จนในที่สุดการควบคุมโรคในภาพรวมจะทำได้ยากลำบาก และเป็นเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้สหรัฐฯ ต้องเผชิญกับวิกฤตการแพร่ระบาดหนักหนากว่าประเทศพัฒนาแล้วอื่น ๆ ดังที่ปรากฏในปัจจุบันตามยอดผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วแซงหน้าอิตาลีไปแล้ว ดังนั้น หลังผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ เราอาจได้เห็นบทบาทที่เพิ่มขึ้นของระบบรัฐสวัสดิการในแต่ละประเทศก็เป็นได้

3. สังคมจะก้าวเข้าสู่ระบบดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อให้ทันพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป : ทุกวิกฤตย่อมทิ้งร่องรอย (legacy) ไว้เสมอ ย้อนกลับไปในสมัยการระบาดของโรคซาร์สในปี 2545 ก็สร้างจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับการใช้เทคโนโลยีออนไลน์อย่างอีคอมเมิร์ซในจีนให้มาเป็นที่นิยมในหมู่ประชาชนอย่างสูง โดยเฉพาะอาลีบาบาและเจดีดอทคอม เพราะผู้คนหลีกเลี่ยงการติดเชื้อจากพื้นที่สาธารณะและหันมาสั่งซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น มาถึงวิกฤตครั้งนี้ก็จะทิ้งร่องรอยไว้เช่นกัน โดยเป็นการตอกย้ำให้ร้านค้าและห้างสรรพสินค้าแบบดั้งเดิมต้องเร่งพัฒนาอย่างก้าวกระโดดเพื่อช่วงชิงตลาดจากการค้าขายแบบออนไลน์มากขึ้นอีก รวมทั้งเทคโนโลยีดิจิทัลหลายประเภทที่มีมานานแล้วแต่ยังไม่มีคนใช้กันมากนัก วิกฤตครั้งนี้กลับบังคับให้คนต้องหันมาใช้เทคโนโลยีเหล่านี้อย่างจริงจัง และสร้างโอกาสต่อยอดให้มีผู้เล่นในตลาดมากยิ่งขึ้น อาทิ แพลตฟอร์มที่ช่วยสื่อสารทางไกล จัดประชุม หรืออีเวนท์ ซึ่งผู้บริโภคจะเกิดความคุ้นเคยและเปลี่ยนพฤติกรรมหันมาใช้เทคโนโลยีอย่างถาวร นอกจากนี้ แม้กระทั่งสถาบันการศึกษาก็ต้องพัฒนาไปใช้วิธีการสอนแบบออนไลน์ทดแทนทั้งหมดในช่วงวิกฤต ซึ่งอาจพลิกโฉมระบบการศึกษาโลกไปโดยสิ้นเชิงหลังผ่านพ้นวิกฤตแล้ว และสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด ผู้คนอาจจะกลัวการใช้เงินสดหรือธนบัตร เพราะกระดาษอาจเป็นพาหะของเชื้อโรคได้แม้ผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 ไปแล้ว และจะเริ่มคุ้นชินกับการรักษาสุขอนามัยอย่างเข้มงวดไปจนถึงการใช้ชีวิตประจำวันที่คำนึงถึงความปลอดภัยต่อสุขภาพ ด้วยปัจจัยเหล่านี้จะทำให้ระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นได้

4. การแก้ไขปัญหา “วิกฤตโลกร้อน” อาจถูกลดความสำคัญลงในช่วงระยะการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤต : เมื่อวิกฤตโควิด-19 ผ่านพ้นไปแล้ว การฟื้นฟูเศรษฐกิจจะเป็นภารกิจสำคัญอันดับต้น ๆ ของรัฐบาลในแต่ละประเทศ การตัดสินใจฟื้นฟูด้วยวิธีการใดขึ้นอยู่กับแนวนโยบายของแต่ละประเทศ เพราะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานระยะยาวสามารถจะทำได้ควบคู่ไปกับการรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน อาทิ การลงทุนในพลังงานทดแทน การขนส่งสาธารณะที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ประเด็นที่น่ากลัวคือ นโยบายของบางประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ ภายใต้การนำทิศทางโดยประธานาธิบดีทรัมป์ (และจะยังคงนำต่อหากได้รับเลือกตั้งกลับมาในปลายปีนี้) ซึ่งได้ถอนตัวออกจากความตกลงปารีสว่าด้วยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไปแล้ว จะเดินหน้าฟื้นฟูเศรษฐกิจด้วยทิศทางใด? ผู้เขียนคาดว่าทรัมป์จะเดินหน้าฟื้นฟูอุตสาหกรรมการผลิตอย่างเต็มกำลัง และจะเร่งผลิตโดยไม่ได้ให้ความใส่ใจกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแต่อย่างใด ซ้ำเติมด้วยรัฐบาลในหลายประเทศที่อาจให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานสะอาดลดลงด้วย เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา ราคาน้ำมันปรับลดลงมากจากสงครามราคาน้ำมัน โดยเฉพาะระหว่างซาอุดีอาระเบียและรัสเซีย และมองไปข้างหน้า ราคาน้ำมันก็จะยังคงอยู่ในระดับต่ำ ส่วนหนึ่งจากอุปสงค์โลกที่หดตัว ทำให้ไม่มีแรงจูงใจที่ประเทศต่าง ๆ จะหันไปใช้พลังงานสะอาดทดแทน ซึ่งมีราคาสูงกว่า

5. วิกฤตโควิด-19 ไม่ได้ช่วยให้วิกฤตโลกร้อนดีขึ้นในระยะยาว ตามที่หลายท่านเข้าใจ : ล่าสุด (5 เม.ย. 63) ผู้อำนวยการโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) ได้ชี้แจงแล้วว่า โควิด-19 ไม่ควรถูกมองว่า “เป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม” โดยกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ลดลงในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพอากาศดีขึ้น หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลง ล้วนเป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นชั่วคราวเท่านั้น เพราะอย่าลืมกันว่า การแพร่ระบาดครั้งใหญ่นี้ส่งผลให้ปริมาณขยะทางการแพทย์และของเสียอันตรายเพิ่มขึ้นมากมาย และหากเราไม่เปลี่ยนพฤติกรรมการผลิตและบริโภคให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น วิกฤตโลกร้อนก็จะยังคงอยู่และรุนแรงขึ้นต่อเนื่องอย่างแน่นอน ทั้งนี้ ประเด็นสำคัญที่สุดที่อยากจะย้ำเตือนท่านผู้อ่านทุกท่านและไม่ค่อยมีใครกล่าวถึงคือ ในระหว่างที่พวกเราต้องร่วมแรงร่วมใจทำ social distancing โดยการอยู่บ้านหรือทำงานที่บ้านในวิกฤตโควิด-19 นั้น เราได้ร่วมกันเพิ่มพูนความร้อนให้แก่โลกอย่างไม่รู้ตัว นั่นคือ การใช้อินเทอร์เน็ตและดิจิทัลดาต้าอย่างไม่ระมัดระวัง โดยเฉพาะการปรนเปรอตนเองด้วยความบันเทิง นำมาซึ่งการต้องผลิตพลังงานไฟฟ้ามาก และการเพิ่มคลื่นไมโครเวฟในการรับส่งข้อมูลดิจิทัลดาต้าระหว่างกัน ในมุมมองของผู้เขียนเห็นว่า เมื่อสังคมกำลังก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบตามที่ได้อธิบายไว้แล้วข้างต้น ทุกคนควรตระหนักถึงเหรียญอีกด้านหนึ่งของอินเทอร์เน็ตและนวัตกรรมที่มาพร้อมกับมันด้วย ผู้เขียนไม่ได้บอกว่าไม่ให้ใช้มันเลย เพราะมันมีประโยชน์ แต่กำลังบอกว่า “ทุกครั้งที่ใช้ ควรใช้ด้วยความตระหนักรู้ถึงประโยชน์และโทษภัยของมัน และพึงใช้เท่าที่จำเป็น” เพราะมนุษย์มักมีนิสัยดังสำนวนที่ว่า “ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา” โดยมักจะต้องเจอโทษภัยที่เกิดขึ้นกับตนเองโดยตรงก่อน จึงจะตระหนักได้ว่า “รู้อย่างนี้ ทำตั้งนานแล้ว”… อย่ารอให้โทษภัยของวิกฤตโลกร้อนที่เกิดจากน้ำมือของพวกเราเองมาถึงท่านแบบไม่รู้ตัวเลยครับ ผู้เขียนเชื่อว่า หากไม่ร่วมมือกันตั้งแต่วันนี้ โทษภัยของวิกฤตโลกร้อนจะมาหาท่านโดยไม่ทันตั้งตัว เฉกเช่นเดียวกันกับวิกฤตโควิด-19 ในครั้งนี้ที่มาแบบเงียบเชียบ รุนแรงและยืดเยื้ออย่างยิ่งครับ!

** บทความนี้เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล จึงไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของหน่วยงานที่ผู้เขียนสังกัด **

บทความโดย สุพริศร์ สุวรรณิก